มนุษย์กับศิลปะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมาแต่ครั้งอดีต โดยภาพแรกที่เชื่อว่ามีการบันทึกไว้ได้ถูกค้นพบบนฝาผนังถ้ำตามสถานที่ต่าง ๆ ที่มีชนเผ่าอาศัยอยู่ เอกลักษณ์ที่ลวดลายของเส้นและสีมีความเป็นมาที่แตกต่างกันออกไปตามแต่วัฒนธรรม โดยเฉพาะศิลปะบนเรือนร่างที่ไม่ใช่แค่การวาดเขียนแต่เป็นการสักโดยน้ำหมึกที่ทำให้ลวดลายนั้นยังคงอยู่ เป็นเรื่องราวของความเชื่อและความสวยงามที่ถูกส่งต่อกันมาแต่ครั้งอดีต โดยบทความนี้เราได้นำเอาวัฒนธรรมการสักของกลุ่มรอยสักที่โด่งดังเป็นที่รู้จักกับ วัฒนธรรมสักลาย ไทย ญี่ปุ่น เมาลี ว่ารอยสักเหล่านั้นมีความหมายใดแอบแฝงและสักไปเพื่อเหตุผลอะไร
ก่อนอื่นต้องทำความรู้จักกันก่อนว่าครั้งอดีตนั้น มนุษย์จะใช้เข็มกับน้ำหมึกจากยางไม้และผ่านกรรมวิธีต่าง ๆ เพื่อให้ได้สีสันและความติดทนนาน ก่อนที่จะนำมาทิ่มแทงบนผิวหนังทีละจุดจนเกิดเป็นลวดลาย ฉะนั้นความงามในอดีตจึงต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างมาก บ้างก็สักเพื่อแสดงพลังอำนาจ บ้างก็สักเพื่อสรรเสริญเทพหรือความเชื่อ บ้างก็สักเพื่อบ่งบอกสถานะ แต่ไม่ว่ารอยสักนั้นจะมาด้วยสาเหตุใดก็แล้ว การลงเส้นอักษรหรือรูปภาพบนร่างกายเป็นวัฒนธรรมที่ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมา หากแต่ว่ารูปลักษณ์ของศิลปะนั้นจะแตกต่างกันออกไปก็ขึ้นอยู่กับศิลปะภายในของประเทศนั้น ๆ ด้วยเช่นกัน
ลายสักยันต์ แบบไทย-ขอม
ลายสักของไทยแต่ครั้งอดีตมักจะเป็นลายสักยันต์ โดยอักขระทั้งหมดที่ถูกเขียนลงบนร่างกายจะมีอยู่ไม่กี่ประเภท อาทิเช่น อักษรบาลี-สันสกฤต อักษรขอม บทคาถา และรูปสัตว์ในวรรณคดี เนื่องจากคนไทยโบราณมีความเชื่อว่าเกี่ยวกับภูตผีและเทพ การสักยันต์จึงเชื่อว่าจะช่วยเสริมดวงเสริมบารมีหนุนชะตาให้พบแต่ความสำเร็จ อีกความหมายหนึ่งคือในอดีตการสักมักจะแสดงออกถึงความเป็นชายชาตรี ชายผู้มีความเข้มแข็งอดทนและความกล้าหาญ นิยมสักในหมู่นักรบเพราะเชื่อว่าจะช่วยให้หนังเหนียวฟันแทงไปเข้า อีกทั้งยังเชื่อว่าสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้
แต่ละลายสักยันต์จะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละสำนัก ขณะที่สักมักจะท่องมนต์คาถาที่ไม่มีเหมือนกัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการอัญเชิญเหล่าเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาคุ้มครองร่างกาย โดยเหล่าผู้ที่สักจะต้องทำปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจึงเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งที่ทำให้คนรักในการทำดีมากกว่าการทำชั่ว เพราะหากคิดชั่วทำชั่วก็เชื่อกันว่าเทวดาที่คุ้มครองอยู่ในรอยสักจะหายไปหรือที่เรียกว่าของเสื่อมนั่นเอง
ลายสัก แบบญี่ปุ่น
รอยสักแบบญี่ปุ่นนั้นถือว่าขึ้นชื่อเป็นอย่างมาก เพราะมักจะรู้จักในนามของยากูซาผู้มีเอกลักษณ์เป็นรอยสักที่แตกต่างกันออกไปแต่ละหมู่พวก ซึ่งตำนานของรอยสักญี่ปุ่นก็มีอยู่ด้วยกันมากมาย แต่ที่นิยมสักกันจะเป็นรูปของความเชื่อ อาทิเช่น สัตว์ต่าง ๆ ดอกไม้ และเทพเจ้า โดยเฉพาะชาย ไอนู ชนเผ่าโบราณของญี่ปุ่นจะนิยมสักในผู้หญิงเป็นอย่างมาก การสักก็เป็นไปเพื่อคำสาบานว่าจะปกป้องดูแลและเคียงข้างสามีไม่ว่าถูกหรือผิด
ต่อมาในปี พ.ศ. 2220 ทางการญี่ปุ่นได้ใช้วิธีการสักรูปสัญลักษณ์บนร่างกายนักโทษเพื่อบ่งบอกที่อยู่เพื่อง่ายต่อการตรวจสอบ จึงเป็นที่มาของว่าหากใครมีรอยสักนี้ก็มักจะเป็นที่หวาดกลัวรังเกียจในสังคม ทว่า ปัจจุบันในรอยสักของยากูซานั้นแตกต่างออกไปมีความสวยงามมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงการเป็นหมู่พวกเอาไว้ และที่ทำให้รอยสักนั้นโดดเด่นก็ด้วยกฎระเบียบของยากูซาที่ป่าเถื่อนและเที่ยงตรงที่สุดนั่นเอง
ลายสัก แบบเมาลี
ชนเผ่าเมาลีตั้งอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ ว่ากันว่าเป็นชนเผ่าโบราณที่เก่งเรื่องการรบและสร้างความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยรอยสักที่เน้นการสักบนใบหน้าเพื่อข่มขวัญศัตรู และเชื่อว่าเพื่อสรรเสริญพระเจ้า โดยนักรบเมาลีที่ถูกเรียกโมโค นิยมสักเป็นลายเส้นที่เรียบง่ายบนใบหน้าและตามลำตัว เนื่องด้วยลายเส้นที่ไม่ซับซ้อนดูมีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าจะถูกคิดค้นมาเป็นเวลานานแล้วแต่ครั้งอดีต แต่ด้วยความเรียบง่ายนี้ได้กลายมาเป็นแฟชั่นรอยสักที่โด่งดังที่สุดในโลก แม้แต่ดาราดังหลายคนก็ยังนิยมสักตามร่างกาย
วัฒนธรรมสักลาย ไทย ญี่ปุ่น เมาลี แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันที่ลวดลาย แต่ทั้งหมดล้วนมีความเชื่อที่เป็นกุศโลบาย ทั้งการสรรเสริญพระเจ้า สนองความเชื่อ แสดงถึงความแข็งแกร่ง โดยความเชื่อเหล่านั้นได้หล่อหลอมมาเป็นลายสักที่แตกต่างกันออกไป เป็นศิลปะบนเรือนร่างที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาช้านาน แม้ว่าปัจจุบันการสักจะเปลี่ยนจากทำเพื่อความเชื่อมาเป็นความสวยงามเป็นส่วนมาก thaiguru แต่อย่างไรเสียก็นับว่าทั้งหมดนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากความเชื่อแบบเดียวกัน
เกมส์ออนไลน์แนะนำ >>> บาคาร่า