ว่ากันว่าสิ่งที่น่ากลัวและเสพติดได้ง่ายกว่ายาเสพติดนั่นก็คือ น้ำตาล ด้วยความหวานที่ทำให้หลงใหลได้ง่ายดายนี้เอง ทำให้คนส่วนใหญ่ชื่นชอบที่จะบริโภค และจะไม่หยุดจนกว่าจะพอใจ นอกจากจะเป็นวัตถุดิบหลังในขนมทุกชนิดแล้ว ยังถูกนำมาปรุงในอาหารอีกเป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่าน้ำตาลคือวัตถุดิบที่ครองโลกมากที่สุด แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าน้ำตาล แน่นอนว่าต้องมีเอกลักษณ์ที่ความหวาน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า รู้หรือไม่ น้ำตาลชนิดไหนหวานที่สุด
แม้จะมีวัตถุประสงค์เดียวกันคือให้ง่ายต่อการบริโภค ด้วยรสชาติที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรแต่กลับเต็มไปด้วยพิษร้าย การเสพติดความหวานจึงง่ายรสชาติอื่น ๆ ในกลุ่มคนรักสุขจึงพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะเลี่ยงความหวาน เพราะความหวานนั้นส่งผลเสียหลายประการต่อสุขภาพ และหากยิ่งบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปในแต่ละวัน ก็จะกลายเป็นปัญหาสะสมที่ก่อให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ ในอนาคต แต่ถึงกระนั้นความหวานก็ยังพอมีข้อดีอยู่บ้าง นั่นก็คือช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นในยามที่อ่อนล้า และเป็นสารอาหารที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เป็นอย่างดี
แม้ว่าในกลุ่มผู้รักสุขภาพพยายามจะต่อต้านรสชาติหวานนี้มากเพียงใด แต่คุณประโยชน์ที่ยังมีอยู่ของมันก็เป็นเครื่องล่อใจอยู่ไม่น้อย และการพยายามงดของหวานก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดของมนุษย์ ฉะนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงได้พยายามคิดค้นสารทดแทนความหวานขึ้นมา แต่ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลีกเลี่ยงโดยการเปลี่ยนชนิดของน้ำตาลเพราะน้ำตาลแต่ละชนิดนั้นมีความหวานที่แตกต่างกัน ดังนี้
1.น้ำตาลฟรักโตส (Fructose) หรือ ฟรุตโตส
เป็นน้ำตาลที่มีความหวานมากที่สุด ซึ่งน้ำตาลชนิดนี้จะพบได้ในกลุ่มของผลไม้หวานตามธรรมชาติหรือน้ำผึ้ง ซึ่งจะได้รับมากที่สุดก็ต่อเมื่อเราทานผลไม้เหล่านั้นสด ๆ เป็นจำนวนมาก เมื่อนำมาสกัดจะให้ความรู้สึกที่หวานกว่าชนิดอื่น ๆ น้ำตาลฟรุตโตสนี้มักนิยมนำมาใส่ในผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม น้ำอัดลม หรือน้ำหวานต่าง ๆ ตามร้านสะดวกซื้อ ซึ่งถ้าเมื่อเราพลิกดูที่ฉลากกำกับข้างขวดก็จะเห็นส่วนประกอบของน้ำตาลชนิดนี้อย่างชัดเจน
2.น้ำตาลซูโครส (Sucrose)
เป็นน้ำตาลที่มีความหวานรองลงมาจากฟรุตโตส เป็นชนิดที่เราใช้กันบ่อยมากที่สุด หรือรู้จักกันในนามของน้ำตาลทราย เป็นน้ำตาลที่ถูกนำมาประกอบในอาหารและเครื่องดื่มทั่วไป และการสกัดของน้ำตาลชนิดนี้ มักนิยมผลิตมาจากอ้อยและหัวบีท อีกทั้งยังพบได้ในผลไม้และน้ำผึ้งด้วยเช่นกัน และสาเหตุที่เป็นที่นิยมมากที่สุดก็เนื่องจากหาซื้อได้ง่ายและมีราคาถูกนั่นเอง
3.กลูโคส (Glucose)
เป็นน้ำตาลที่มีความหวานรองจากซูโครส ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดคิดว่าทั้งสองชนิดนี้คือชนิดเดียวกัน แม้จะให้ความหวานเหมือนกัน แต่น้ำตาลกลูโคสนั้นมีวิธีการผลิตที่แตกต่างออกไปมาก ซึ่งนั่นก็คือน้ำตาลกลูโคสจะผลิตได้ด้วยร่างกายของเราเองเท่านั้น เป็นการสังเคราะห์ผ่านตับ จากการเปลี่ยนพลังงานคาโบไฮเดรต ที่ได้จากอาหารประเภท แป้ง ข้าว เป็นต้น ซึ่งคนไทยมักจะได้รับสารความหวานตรงนี้อยู่แล้ว เนื่องจากเราบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน แพทย์จึงมักสั่งให้ควบคุมการทานข้าวเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างไรความหวานประเภทกลูโคสนี้ก็ถือว่ามีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก เพราะเป็นสารอาหารที่ช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะเซลล์สมอง
4.น้ำตาลมอลโทส (Maltose)
เป็นน้ำตาลที่ให้ความหวานรองจากกลูโคส กระบวนการผลิตมักทำมาจากเมล็ดพืชนำมาหมัก เพื่อเปลี่ยนให้เป็นโมเลกุลคู่ ซึ่งจากกระบวนการทำงานของโมเลกุลจากกลูโคส 2 ตัวรวมกัน เรามักไม่ค่อยได้เห็นน้ำตาลชนิดนี้ทั่วไป เนื่องจากมันจะถูกผลิตในอุตสาหกรรมเบียร์หรือเหล้าเป็นส่วนใหญ่
5.น้ำตาลแลคโตส (Lactose)
เป็นน้ำตาลที่ให้ความหวานน้อยที่สุด เป็นน้ำตาลที่เกิดจากธรรมชาติ และมักจะพบได้ในน้ำนมของสัตว์หรือมารดา รสชาติที่ได้จึงไม่ได้ให้ความหวานที่โดดเด่น แต่จะออกรสชาติเล็กน้อยเป็นส่วนประกอบทางธรรมชาติเท่านั้น
ค่าความหวานของน้ำตาล
ค่าความหวานของน้ำตาล ทั้งในผลิตไม้ พืช หรือสินค้าทางการเกษตรทั่วไป จะถูกกำหนดด้วยค่ามาตรฐาน เพื่อให้สามารถตรวจสอบคุณภาพได้ และยังเป็นอีกหนึ่งหน่วยที่ใช้พิจารณากำหนดราคาซื้อขายนั่นเอง ซึ่งโดยทั่วไปก็จะมีวิธีการวัดด้วยกันอยู่ 2 วิธี ได้แก่
- องศาบริกซ์ (ºBrix) ซึ่งวัดจากปริมาณของแข็งที่มีอยู่ในน้ำอ้อย เพื่อตรวจสอบปริมาณน้ำตาลในอ้อย มักนิยมใช้ในอุตสาหกรรมประเทศไทย
- ซี.ซี.เอส (Commercial Cane Sugar : C.C.S) หาค่าปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่ในน้ำอ้อยเมื่อถูกสกัดออกมาเป็นน้ำตาลทรายแล้วจะรู้ว่ามีปริมาณเท่าใด เป็นสูตรคำนวณจากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์นั้นจะต้องได้มาตรฐานด้วยเช่นกัน
สรุป
หวังว่าเราคงจะได้เห็นแล้วว่า รู้หรือไม่ น้ำตาลชนิดไหนหวานที่สุด และน้ำตาลก็ไม่ใช่สารอาหารที่สำคัญในร่างกายที่มนุษย์ต้องการมากนัก เพราะโดยปกติแล้ว เราสามารถสังเคราะห์เองได้ตามธรรมชาติ การรับมาในปริมาณมากย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพ ดังที่คนไทยส่วนใหญ่กำลังเผชิญกับปัญหาโรคเบาหวานอยู่ในขณะนี้ สุดท้ายนี้ ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่ ควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเอง thaiguru.net
แหล่งอ้างอิงข้อมูล : https://www.scimath.org