รู้หรือไม่ น้ำตาลชนิดไหนหวานที่สุด

ว่ากันว่าสิ่งที่น่ากลัวและเสพติดได้ง่ายกว่ายาเสพติดนั่นก็คือ น้ำตาล ด้วยความหวานที่ทำให้หลงใหลได้ง่ายดายนี้เอง ทำให้คนส่วนใหญ่ชื่นชอบที่จะบริโภค และจะไม่หยุดจนกว่าจะพอใจ นอกจากจะเป็นวัตถุดิบหลังในขนมทุกชนิดแล้ว ยังถูกนำมาปรุงในอาหารอีกเป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่าน้ำตาลคือวัตถุดิบที่ครองโลกมากที่สุด แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าน้ำตาล แน่นอนว่าต้องมีเอกลักษณ์ที่ความหวาน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า รู้หรือไม่ น้ำตาลชนิดไหนหวานที่สุด

รู้หรือไม่ น้ำตาลชนิดไหนหวานที่สุด1

แม้จะมีวัตถุประสงค์เดียวกันคือให้ง่ายต่อการบริโภค ด้วยรสชาติที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรแต่กลับเต็มไปด้วยพิษร้าย การเสพติดความหวานจึงง่ายรสชาติอื่น ๆ ในกลุ่มคนรักสุขจึงพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะเลี่ยงความหวาน เพราะความหวานนั้นส่งผลเสียหลายประการต่อสุขภาพ และหากยิ่งบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปในแต่ละวัน ก็จะกลายเป็นปัญหาสะสมที่ก่อให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ ในอนาคต แต่ถึงกระนั้นความหวานก็ยังพอมีข้อดีอยู่บ้าง นั่นก็คือช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นในยามที่อ่อนล้า และเป็นสารอาหารที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เป็นอย่างดี 

รู้หรือไม่ น้ำตาลชนิดไหนหวานที่สุด2

แม้ว่าในกลุ่มผู้รักสุขภาพพยายามจะต่อต้านรสชาติหวานนี้มากเพียงใด แต่คุณประโยชน์ที่ยังมีอยู่ของมันก็เป็นเครื่องล่อใจอยู่ไม่น้อย และการพยายามงดของหวานก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดของมนุษย์ ฉะนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงได้พยายามคิดค้นสารทดแทนความหวานขึ้นมา แต่ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลีกเลี่ยงโดยการเปลี่ยนชนิดของน้ำตาลเพราะน้ำตาลแต่ละชนิดนั้นมีความหวานที่แตกต่างกัน ดังนี้

1.น้ำตาลฟรักโตส (Fructose) หรือ ฟรุตโตส

เป็นน้ำตาลที่มีความหวานมากที่สุด ซึ่งน้ำตาลชนิดนี้จะพบได้ในกลุ่มของผลไม้หวานตามธรรมชาติหรือน้ำผึ้ง ซึ่งจะได้รับมากที่สุดก็ต่อเมื่อเราทานผลไม้เหล่านั้นสด ๆ เป็นจำนวนมาก เมื่อนำมาสกัดจะให้ความรู้สึกที่หวานกว่าชนิดอื่น ๆ น้ำตาลฟรุตโตสนี้มักนิยมนำมาใส่ในผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม น้ำอัดลม หรือน้ำหวานต่าง ๆ ตามร้านสะดวกซื้อ ซึ่งถ้าเมื่อเราพลิกดูที่ฉลากกำกับข้างขวดก็จะเห็นส่วนประกอบของน้ำตาลชนิดนี้อย่างชัดเจน

2.น้ำตาลซูโครส (Sucrose)

เป็นน้ำตาลที่มีความหวานรองลงมาจากฟรุตโตส เป็นชนิดที่เราใช้กันบ่อยมากที่สุด หรือรู้จักกันในนามของน้ำตาลทราย เป็นน้ำตาลที่ถูกนำมาประกอบในอาหารและเครื่องดื่มทั่วไป และการสกัดของน้ำตาลชนิดนี้ มักนิยมผลิตมาจากอ้อยและหัวบีท อีกทั้งยังพบได้ในผลไม้และน้ำผึ้งด้วยเช่นกัน และสาเหตุที่เป็นที่นิยมมากที่สุดก็เนื่องจากหาซื้อได้ง่ายและมีราคาถูกนั่นเอง

3.กลูโคส (Glucose)

เป็นน้ำตาลที่มีความหวานรองจากซูโครส ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดคิดว่าทั้งสองชนิดนี้คือชนิดเดียวกัน แม้จะให้ความหวานเหมือนกัน แต่น้ำตาลกลูโคสนั้นมีวิธีการผลิตที่แตกต่างออกไปมาก ซึ่งนั่นก็คือน้ำตาลกลูโคสจะผลิตได้ด้วยร่างกายของเราเองเท่านั้น เป็นการสังเคราะห์ผ่านตับ จากการเปลี่ยนพลังงานคาโบไฮเดรต ที่ได้จากอาหารประเภท แป้ง ข้าว เป็นต้น ซึ่งคนไทยมักจะได้รับสารความหวานตรงนี้อยู่แล้ว เนื่องจากเราบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน แพทย์จึงมักสั่งให้ควบคุมการทานข้าวเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างไรความหวานประเภทกลูโคสนี้ก็ถือว่ามีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก เพราะเป็นสารอาหารที่ช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะเซลล์สมอง 

4.น้ำตาลมอลโทส (Maltose)

เป็นน้ำตาลที่ให้ความหวานรองจากกลูโคส กระบวนการผลิตมักทำมาจากเมล็ดพืชนำมาหมัก เพื่อเปลี่ยนให้เป็นโมเลกุลคู่ ซึ่งจากกระบวนการทำงานของโมเลกุลจากกลูโคส 2 ตัวรวมกัน เรามักไม่ค่อยได้เห็นน้ำตาลชนิดนี้ทั่วไป เนื่องจากมันจะถูกผลิตในอุตสาหกรรมเบียร์หรือเหล้าเป็นส่วนใหญ่

5.น้ำตาลแลคโตส (Lactose)

เป็นน้ำตาลที่ให้ความหวานน้อยที่สุด เป็นน้ำตาลที่เกิดจากธรรมชาติ และมักจะพบได้ในน้ำนมของสัตว์หรือมารดา รสชาติที่ได้จึงไม่ได้ให้ความหวานที่โดดเด่น แต่จะออกรสชาติเล็กน้อยเป็นส่วนประกอบทางธรรมชาติเท่านั้น

ค่าความหวานของน้ำตาล

ค่าความหวานของน้ำตาล ทั้งในผลิตไม้ พืช หรือสินค้าทางการเกษตรทั่วไป จะถูกกำหนดด้วยค่ามาตรฐาน เพื่อให้สามารถตรวจสอบคุณภาพได้ และยังเป็นอีกหนึ่งหน่วยที่ใช้พิจารณากำหนดราคาซื้อขายนั่นเอง ซึ่งโดยทั่วไปก็จะมีวิธีการวัดด้วยกันอยู่ 2 วิธี ได้แก่

  1. องศาบริกซ์ (ºBrix) ซึ่งวัดจากปริมาณของแข็งที่มีอยู่ในน้ำอ้อย เพื่อตรวจสอบปริมาณน้ำตาลในอ้อย มักนิยมใช้ในอุตสาหกรรมประเทศไทย 
  2. ซี.ซี.เอส (Commercial Cane Sugar : C.C.S) หาค่าปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่ในน้ำอ้อยเมื่อถูกสกัดออกมาเป็นน้ำตาลทรายแล้วจะรู้ว่ามีปริมาณเท่าใด เป็นสูตรคำนวณจากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์นั้นจะต้องได้มาตรฐานด้วยเช่นกัน
รู้หรือไม่ น้ำตาลชนิดไหนหวานที่สุด3

สรุป

หวังว่าเราคงจะได้เห็นแล้วว่า รู้หรือไม่ น้ำตาลชนิดไหนหวานที่สุด และน้ำตาลก็ไม่ใช่สารอาหารที่สำคัญในร่างกายที่มนุษย์ต้องการมากนัก เพราะโดยปกติแล้ว เราสามารถสังเคราะห์เองได้ตามธรรมชาติ การรับมาในปริมาณมากย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพ ดังที่คนไทยส่วนใหญ่กำลังเผชิญกับปัญหาโรคเบาหวานอยู่ในขณะนี้ สุดท้ายนี้ ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่ ควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเอง thaiguru.net

แหล่งอ้างอิงข้อมูล : https://www.scimath.org

บทความล่าสุด

หมวดหมู่

TAG

Tag
4ประเทศที่มีค่าสกุลเงินต่ำกว่ารูปีอินเดีย (1) 4ร้านสุดปังในเมียงดง (1) 5หนังสือแนะนำ ที่ผู้ประกอบการควรอ่าน (1) 7 ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด (1) 7 สวนสนุกร้างในญี่ปุ่นที่คุณต้องไม่พลาด (1) 7 สิ่งมหัศจรรย์ในตำนานที่หายไป (1) 7วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคุณ (1) 8 สถานที่ สัมผัสงานหัตถกรรมแบบเกียวโต (1) 8 สถานที่แรงบันดาลใจ ตามรอยการ์ตูนค่าย Studio Ghibli (1) 8 สัญญาณบ่งบอกว่าคุณขาดวิตามิน (1) 8 สิ่งที่วิศวกรทุกคนต้องการบนโต๊ะทำงาน (1) 8 อาหารสุดแปลกในแถบเอเชีย (1) 9 ความลึกลับใต้น้ำที่ถูกค้นพบ (1) 10 วิธีควบคุมอารมณ์โกรธ (1) 10 อันดับส่วนผสมทำเค้กที่คุณอาจนึกไม่ถึง (1) 10 อาหารที่ถูก และดีต่อสุขภาพ (1) 10 เมืองน่าเที่ยวที่ทำให้คุณมีความสุข (1) 10 ไอเดียเขียนไดอารี่ที่จะทำให้คุณมีความสุขและใจเย็นมากขึ้น (1) ขนตูดมีไว้ทำไม (1) ข้อควรรู้ เลือกเครื่องซักผ้า ฝาล่างหรือฝาบน (1) คาเฟ่หอมหวานที่เชิงหว่าน at ฮ่องกง (1) จริงหรือไม่ที่ฉลามสายตาไม่ดี (1) ตัวหอมด้วยการกิน (1) ประเทศอินเดีย (1) ผลไม้สุขภาพดี (1) ผลไม้อบแห้ง ขนมยอดฮิตใน TIKTOK (1) พิธีกรรมเสริมความงามสาวอินเดีย (1) มารู้จัก โรคหน้านิ่ง จนคิดว่าหยิ่ง (1) รวมมีมแมวที่ชาวเน็ตใช้กันมากที่สุด (1) รอยสัก (1) รู้หรือไม่ เข็มแทงน้ำเกลือไม่ได้ฝังอยู่ในมือ (1) ลายสัก (1) วัฒนธรรมสักลาย ไทย ญี่ปุ่น เมาคลี (1) ออกกำลังกาย (1) อาหารแปลก (1) เกร็ดความรู้ (28) เครื่อง แปลภาษา (1) เคล็ดลับการตื่นเช้าให้สดชื่นที่คุณควรรู้ (1) เคล็ดลับต่างๆ (35) เคล็ดลับทำให้ดูเด็ก (1) เคล็ดลับสร้างความสุข (1) เที่ยวรอบโลก ด้วยเครื่อง 42 แปลภาษา (1) เมเฮนดี (1) เรื่องน่ารู้ (146) แมวน่ารัก (1)