ในอดีตหลายคนอาจเคยเชื่อว่าความก้าวหน้าทางการแพทย์และวิทยาการสมัยใหม่อาจเป็นสิ่งที่ทำให้โรคภัยและอุปสรรคในการดำรงชีวิตที่เป็นตัวขับเคลื่อนกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural selection) หายไปแล้วสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ คาดว่าคนในปัจจุบันอาจไม่มีการวิวัฒนาการอีกต่อไป แต่ล่าสุดผลการศึกษาดีเอ็นเอในประชากรมนุษย์ทั่วโลกได้ชี้ให้เห็นว่าแนวคิดนี้อาจจะยังไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด ฉะนั้นคำถามที่ว่ามนุษย์กลายพันธุ์มีอยู่จริงหรือไม่ วันนี้เราจึงนำเกร็ดความรู้ดีๆเรื่อง มนุษย์กลายพันธุ์ มีอยู่จริง
ศาสตราจารย์ลอเรนซ์ ดี. เฮิร์ซต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์วิวัฒนาการจากมหาวิทยาลัยบาธของสหราชอาณาจักร ได้แสดงทรรศนะที่น่าสนใจในบทความที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์วิชาการ The Conversation โดยหากดูงานวิจัยและหลักฐานทางพันธุกรรมในหลายกลุ่มประชากรทั่วโลก จะพบว่ามนุษย์ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในระดับดีเอ็นเอ นั่นหมายความว่า กระบวนการวิวัฒนาการที่ช่วยให้ต่อสู้กับโรคภัยและปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมก็ยังคงเกิดขึ้นเหมือนเดิม โดยความเปลี่ยนแปลงนี้สามารถเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่าที่คิดในอดีต
พบว่าในอดีตมนุษย์โบราณโฮโม หรือโฮโมนาเลดี ได้สูญพันธุ์ไปเนื่องจากความขี้เกียจในการดำรงชีวิต แม้สมองของพวกเขาจะเล็กกว่าผลส้ม แต่พวกเขาก็มีความฉลาดในด้านอื่นๆ และได้พัฒนาระบบการหายใจในอากาศหนาว ด้วยการมีหน้ายื่น-จมูกใหญ่ เพื่อหายใจในสภาวะที่มีปริมาณออกซิเจนต่ำ
ศาสตราจารย์เฮิร์ซต์อธิบายว่า วิวัฒนาการคือกระบวนการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอทีละน้อยอย่างต่อเนื่องในหลายชั่วรุ่นของสิ่งมีชีวิต กระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติสามารถนำไปสู่การกลายพันธุ์ที่มีลักษณะเอื้อต่อการอยู่รอดหรือการเจริญพันธุ์ และระบุว่ากระบวนการนี้สามารถเกิดขึ้นในกลุ่มประชากรในเวลาเร็วมาก
หนึ่งในตัวอย่างที่สำคัญคือกระบวนการวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นกับกลุ่มประชากรที่ต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่มีปริมาณออกซิเจนต่ำ เช่นกลุ่มชาวทิเบต ชาวเอธิโอเปีย และกลุ่มชนที่อาศัยในเทือกเขาแอนดีส พวกเขาพัฒนาความสามารถในการกักเก็บออกซิเจนในเลือดได้มากขึ้น ผ่านการแพร่ขยายของยีนกลายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในกลุ่มชาวทิเบตอาจถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดในมนุษย์ เพียงใช้เวลาราว 3,000 ปีเท่านั้น
ดังนั้น ความคิดที่ว่าโรคภัยและอุปสรรคทางการแพทย์อาจทำให้กระบวนการคัดเลือกธรรมชาติหายไปสำหรับมนุษย์อาจไม่เป็นความจริง และวิวัฒนาการยังคงเกิดขึ้นในระดับดีเอ็นเอ ที่ช่วยให้มนุษย์มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและต่อสู้กับโรคภัยได้อย่างยั่งยืนและเชื่อมั่นได้เช่นเดิม
ถ้ามนุษย์วิวัฒนาการณ์ตัวเองเพื่อการอยู่รอดแล้วมนุษย์สามารถกลายพันธุ์ตนเองเพื่อยกระดับความสามารถได้เช่นเดียวกับในหนังหรือไม่?
มนุษย์กลายพันธุ์คืออะไร
สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์หรือมิวแทนท์ (mutant) เป็นเรื่องที่น่าทึ่งและท้าทายให้กับวิทยาศาสตร์และความเข้าใจของเราเกี่ยวกับการสันทนาการและการกลายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในโลกเรา มิวแทนท์ หรือกลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่แสดงออกเฉพาะเจาะจงในลักษณะทางพันธุกรรม เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์และสังคมมาอย่างยาวนาน ซึ่งเราจะมาสำรวจและทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับนวนิยายวิทยาศาสตร์ที่มีการกลายพันธุ์ของมนุษย์ และความเชื่อที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับการเกิดมิวแทนท์ในรายละเอียดต่อไปนี้
คำว่า “มิวแทนท์” มักมีความหมายที่น่าเกลียดและน่ากลัว ซึ่งถูกใช้เพื่อบ่งบอกถึงสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะแปลกๆ หรือน่าสะพรึงกลัว ซึ่งในอดีต นักพันธุศาสตร์ใช้คำว่า “อสูรกาย” (“monster”) เพื่อเรียกชื่อสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะพิเศษหรือแปลกไป แต่เรื่องนี้จะเสนอข้อมูลในแง่มุมที่ไม่มีความน่ากลัวอย่างที่เคยถูกมองเห็น
มิวแทนท์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความแตกต่างในลักษณะทางพันธุกรรม ซึ่งเกิดจากการกลายพันธุ์ซึ่งเป็นกระบวนการที่ส่งผลให้มีความผิดปกติทางพันธุกรรมเกิดขึ้น กล่าวคือ มิวแทนท์มีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างภายในดีเอ็นเอของยีนส์หรือสายพันธุกรรมที่แตกต่างจากความปกติ การกลายพันธุ์สามารถเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือแบบกระตุ้นโดยปัจจัยต่างๆ เช่น การสะสมการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมในช่วงระยะเวลานั้น หรือการผสมสายพันธุกรรมที่แตกต่างกัน
การกลายพันธุ์ของมนุษย์เป็นเรื่องที่ท้าทายและอาจก่อให้เกิดความสนใจในเชิงวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ควรระวังที่จะไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เชื่อถือแพร่กระจายไปอย่างผิดปกติ การวิจัยในเชิงวิทยาศาสตร์จะต้องพึงความระมัดระวังในการจัดการข้อมูลและการประเมินหลักฐาน หากมีการค้นพบข้อมูลที่เป็นนวนิยายหรือทฤษฎีที่ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เพียงพอรองรับ ควรพิจารณาในแง่มุมของความน่าเชื่อถือและการให้ความสำคัญกับความเป็นจริง
ในท้ายที่สุด การศึกษาเกี่ยวกับการกลายพันธุ์และมิวแทนท์ยังคงเป็นหัวข้อที่ต้องการการวิจัยและการสำรวจเพิ่มเติม ความรู้และความเข้าใจที่เกี่ยวข้องนี้อาจช่วยให้เราทำความเข้าใจความแปลกประหลาดและซับซ้อนของโลกที่เราอาศัยอยู่ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ความรู้ด้านนี้เพื่อให้ความสนุกสนานและความรู้สึกทางวรรณกรรมนั้นเป็นเรื่องที่น่าต้องระมัดระวัง เนื่องจากอาจสร้างความสับสนและการเข้าใจผิดได้ การตรวจสอบแหล่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการรับรองความถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลเหล่านั้น
สรุป
จากข้อมูลทั้งหมดแล้วย่อมสรุปได้ว่า มนุษย์กลายพันธุ์ มีอยู่จริง แต่มีวิวัฒนาการณ์ทางด้านร่างกายในระดับดีเอ็นเอมาตั้งแต่อดีต นั่นก็เพื่อการอยู่รอดและการคัดสรรตามธรรมชาติ กล่าวได้ว่ามนุษย์ที่อยู่ในโลกยุคปัจจุบันนี้ก็คือมนุษย์กลายพันธุ์กว่ามนุษย์ยุคหินนั่นเอง