การรักษาสุขภาพและการลดน้ำหนักมักจะมีการควบคุมอาหารเป็นส่วนสำคัญ การจำกัดปริมาณน้ำตาลในอาหารเป็นหนึ่งในวิธีที่คนมักทำเมื่อต้องการลดน้ำหนัก แต่รู้หรือไม่ว่าน้ำตาลมีบทบาทสำคัญในร่างกายอย่างไรบ้าง? วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับน้ำตาลรวมถึงความสำคัญและประโยชน์ของน้ำตาลที่ คุณอาจไม่รู้
ความรู้จักกับน้ำตาล
ความจริงแล้วน้ำตาลก็คือคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วย คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกาย เนื่องจากเป็นแหล่งอาหารที่ร่างกายต้องการนำมาใช้ในแต่ละวัน โดยเฉพาะกับสมองที่ต้องการน้ำตาลมาใช้ และคุณสมบัติพิเศษคือมันช่วยลดความเคลียดได้เป็นอย่างดี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเราจะติดหวานได้ง่ายกว่าติดยาเสพติดเสียอีก โดยน้ำตาล 1 กรัม จะให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี และน้ำตาลสามารถแยกประเภทต่างๆตามโครงสร้างของมัน อาทิเช่น
- น้ำตาลแบบโมโนแซ็คคาร์ไดด์ (Monosaccharides): น้ำตาลแบบนี้เป็นตัวอย่างของน้ำตาลที่มีโครงสร้างง่ายที่สุด และไม่สามารถแยกออกได้เป็นอะตอมคาร์บอนหรือโมเลกุลย่อยอื่น ๆ น้ำตาลโมโนแซ็คคาร์ไดด์รูปแบบที่รู้จักคือ
- กลูโคส (Glucose): กลูโคสเป็นน้ำตาลหลักในเลือดและเป็นแหล่งพลังงานสำหรับร่างกาย.
- ฟรักโตส (Fructose): ฟรักโตสเป็นน้ำตาลที่พบในผลไม้และผลไม้หวาน มีรสหวาน
- น้ำตาลแบบดิสแอคซ์ (Disaccharides): น้ำตาลแบบดิสแอคซ์ประกอบด้วยโมโนแซ็คคาร์ไดด์สองชนิดที่เชื่อมกันด้วยการเชื่อมต่อโคลลิงค์ น้ำตาลแบบดิสแอคซ์ที่รู้จักมากที่สุดมี
- ซูโครส (Sucrose): ซูโครสเป็นน้ำตาลปิดปากที่พบในน้ำตาลขาวและผลไม้ ประกอบด้วยกลูโคสและ
ฟรักโตส
- ลัคโตส (Lactose): ลัคโตสเป็นน้ำตาลที่พบในนมและผลิตภัณฑ์นม ประกอบด้วยกลูโคสและกาลแล็กโตส
- น้ำตาลแบบโอลิโกสิและโปลิโอสแอคซ์ (Oligosaccharides and Polysaccharides): น้ำตาลแบบนี้ประกอบด้วยโมโนแซ็คคาร์ไดด์หลายๆ ตัวที่เชื่อมต่อกันด้วยการเชื่อมต่อโคลลิงค์ โอลิโกสิแอคซ์มีจำนวนโมโนแซ็คคาร์ไดด์น้อยกว่าโปลิโอสแอคซ์ โปลิโอสแอคซ์ประกอบด้วยโมโนแซ็คคาร์ไดด์มากมาย โครงสร้างนี้ทำให้น้ำตาลแบบนี้มีความซับซ้อนมากขึ้น และสามารถทำให้ร่างกายได้รับพลังงานในระยะยาว
- น้ำตาลแบบ Polysaccharides: น้ำตาลแบบนี้มีโครงสร้างที่ซับซ้อนที่สุด และเป็นรูปแบบของน้ำตาลที่พบในรวมถึงข้าว ขนมปัง และธัญพืช โดยมีโปลิโอสแอคซ์หลายๆ โมโนแซ็คคาร์ไดด์ที่เชื่อมต่อกันเป็นโคลลิงค์ใหญ่ เราย่อมเคยเรียกน้ำตาลแบบนี้ว่า “น้ำตาลมีโตส” (Starch) หรือ “เซลลูโลส” (Cellulose) ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและการเชื่อมต่อโมโนแซ็คคาร์ไดด์
น้ำตาลถือกำเนิดขึ้นเมื่อใด
น้ำตาลถูกคิดค้นและใช้งานมาเป็นเวลาหลายพันปี ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดเนื่องจากมีประวัติและบันทึกข้อมูลที่ไม่แน่นอนในอดีตกาล แต่น้ำตาลเป็นสิ่งที่มีความหลากหลายที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยกระบวนการการผลิตที่แตกต่างกันออกไปแต่ละวัฒนธรรม
น้ำตาลที่หาได้แบบธรรมชาติ เช่น น้ำตาลอ้อยและน้ำตาลจากมะพร้าว น้ำหวานจากพืชทั้งสองนี้มีประวัติการใช้งานในภูมิภาคต่าง ๆ โดยการสกัดน้ำตาลจากต้นอ้อยอาจจะมีมาตั้งแต่ระหว่างช่วงปี 6000 ถึง 8000 ปีก่อนคริสต์ศตวรรษ ซึ่งตามการคาดเดาอาจเกิดที่แรกจากอินเดียหรือจีน ซึ่งเป็นสองประเทศที่เรืองอำนาจลีความทันสมัยที่สุดในเอเชีย ณ เวลานั้น
นอกจากนี้ น้ำตาลเทียมซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์น้ำตาลที่สร้างขึ้นโดยกระบวนการเคมีเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมและอาหาร อาจมีการคิดค้นในปีที่มาก่อนการคิดค้นน้ำตาลแบบธรรมชาติ แต่ข้อมูลแน่ชัดไม่ค่อยมีในประวัติศาสตร์ การคิดค้นน้ำตาลเทียมถูกพัฒนาขึ้นในปี 1800s และได้รับการใช้งานและพัฒนาต่อยอดตลอดเวลาในอุตสาหกรรมและอาหารในปัจจุบัน
ประโยชน์ของน้ำตาล
น้ำตาลมีบทบาทในการให้ความหวานในอาหารของเรา มันสามารถสกัดได้จากธรรมชาติ เช่น อ้อย, ตาลโตนด, และมะพร้าว นอกจากนี้ยังมีพืชอื่น ๆ เช่น บีตรูต, ข้าวโพด, เมเปิล, และผลปาล์มที่สามารถสกัดมาใช้ทำน้ำตาลได้
นอกจากนี้ยังมีน้ำตาลเทียมที่ใช้แทนน้ำตาลทั่วไป เช่น หญ้าหวาน น้ำตาลนอกจากที่จะเสริมรสชาติให้อร่อย ยังมีประโยชน์สำคัญต่อร่างกาย เช่น ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี, รักษาแผลในปาก, บรรเทาอาการปวด, ลดความเครียด, และช่วยดับร้อน ถอนพิษ แก้อาการอักเสบ รวมถึงแก้เจ็บคอและรักษาอาการไอมีเสมหะ
น้ำตาลทรายขาวที่ละลายกลายเป็น “น้ำเชื่อม” ยังมีประโยชน์ในการรักษาแผลเน่าเปื่อย ทำให้แผลหายเร็วขึ้น และสำหรับสาว ๆ ที่มีอาการปวดประจำเดือนหรือประจำเดือนมากเกินไป น้ำตาลทรายแดงผสมกับน้ำอุ่นๆ สามารถช่วยลดบรรเทาการปวดท้องจากประจำเดือนได้
ควรระวังกับน้ำตาล
แม้ว่าน้ำตาลมีประโยชน์มากมาย การบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากเกินไปอาจมีผลเสียต่อร่างกาย อาจทำให้รู้สึกง่วงและเป็นตัวเริ่มต้นของอาการภาวะนอนไม่หลับ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน, โรคหัวใจ, และวัณโรค เรายังต้องระมัดระวังเรื่องของสุขภาพช่องปาก เนื่องจากน้ำตาลที่สะสมในช่องปากอาจทำให้เกิดฟันผุและความหวานคือแหล่งอาหารชั้นดีของแบคทีเรียซึ่งเป็นต้นเหตุของกลิ่นปาก
สรุป
แม้ว่าจะน้ำตาลจะมีต่อร่างกายแต่อย่างก็ตามการรับมาในปริมานเกินความจำเป็นก็ย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี เพราะโยธรรมชาติของอาหารแล้วจะมีน้ำตาลเป็นส่วนประกบซึ่งร่างกายเองก็สามารถดึงมันออกมาใช้งานได้อย่างเพียงพอ จึงไม่มีความจำเป็นใดๆเลยที่จะต้องเติมความหวานจากผลิตภัณฑ์สมัยใหม่ที่หลอกให้เราบริโภคอยู่ในทุกวันนี้ และทั้งหมดที่เรานำมานี้คือ ประโยชน์ของน้ำตาลที่คุณอาจไม่รู้ เพราะน้ำตาลมีดีแต่ควรต้องทานให้พอดีจึงจะมีประโยชน์สูงสุด