อุบัติเหตุคือภัยใกล้ตัวที่ไม่อาจคาดเดาได้ แม้ในบางครั้งเราจะระมัดระวังอย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม แต่ท้ายที่สุดเมื่อความซวยมาเยือนตรงหน้า อย่างไรเสียก็คงต้องทนรับชะตากรรมนั้นไป แต่ทว่า สำหรับท่านที่ตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลานี้ ก็มักจะมีวิธีการสำรองเพื่อรับมือ อย่างเช่น การซื้อประกัน ไม่ว่าจะเป็นประกันภัย ประกันสุขภาพ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งจำเป็นและไม่ควรละเลย เพราะว่ามีไว้แต่ไม่ได้ใช้ย่อมดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี โดยเฉพาะอุบัติเหตุการขับขี่บนท้องถนน ฉะนั้นเราจึงจะมาแนะนำ ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1-2-3 ต่างกันอย่างไร และท่านเหมาะจะเลือกใช้ประกันประเภทไหนดี
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มียอดการใช้รถใช้ถนนเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยเฉพาะปัญหารถติดที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าใครเลยทีเดียว เนื่องจากเรามีประชากรกว่าครึ่งที่มียานพาหนะส่วนบุคคล ฉะนั้น การเกิดอุบัติเหตุจึงมีมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้แล้วตามข้อมูลทางสถิติคนไทยเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนจำนวนมาก และมียอดการเสียชีวิตไม่ต่างจากภัยสงครามเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้บริษัทประกันภัยรถยนต์จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อยตั้งแต่การเฉี่ยวจนสีถลอก หรืออุบัติเหตุใหญ่อย่างรถชน ทั้งหมดนี้คือหน้าที่ของประกันที่จะเข้ามาช่วยเหลือเยียวยา ทั้งค่าซ่อมรถของเราและคู่กรณีหากเราเป็นฝ่ายผิด ทั้งนี้ สำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดถึงขั้นเสียชีวิต ประกันภัยก็มีคุ้มครองด้วยเช่นกัน
ประกันภัยนั้นมีด้วยกันหลายประเภทให้เลือก ซึ่งแต่ละประเภทก็จะแตกต่างกันออกป นอกจากราคาที่แตกต่างกันแล้วยังมีรายการการคุ้มครองที่แตกต่างกันอีกด้วย ฉะนั้น ประกันภัยประเภทไหนที่เหมาะกับคุณ โปรดติดตามข้อมูลดังต่อไปนี้
ประเภทประกันภัยรถยนต์
ประกันภัยรถยนต์แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ซึ่งในทางภาษาพูดเรามักจะเรียกเป็นชั้น เช่น ประกันภัยชั้น 1 ประกันภัยชั้น 2 ประกันภัยชั้น 3 เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้
ประกันภัยชั้น 1
ประกันภัยประเภทนี้ถือว่าเป็นประเภทที่มีความคุ้มค่ามากที่สุด และมีจำนวนผู้ใช้มากที่สุด นั้นก็เพราะว่าประกันภัยประเภทนี้จะคุ้มครองครอบจักรวาล เพราะจะคุ้มครองความเสียหายไม่ว่าจะมีคู่กรณีหรือไม่มีคู่กรณีก็ตาม ทั้งนี้หากเราเป็นฝ่ายผิด ทางประกันจะชดเชยค่าเสียหายให้กับคู่กรณีและดำเนินการซ้อมให้ทั้งของเราและคู่กรณี รวมไปถึงความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม พายุ แผ่นดินไหว ลูกเห็บ และอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิเช่น รถหาย ไฟไหม้ เป็นต้น พร้อมทั้งคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและค่าทำศพ หรือสามารถใช้ประกันตัวในกรณีที่กระทำความผิดการขับขี่ได้อีกด้วย
ประกันภัยชั้น 2
ประกันชั้น 2 นี้จะมีความแตกต่างจากประกันชั้น 1 อยู่มาก แต่ในส่วนการคุ้มครองที่จำเป็นยังมีอยู่ เช่น ซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่คู่กรณีแต่ไม่ซ่อมให้กับผู้ทำประกัน เป็นหน้าที่ที่ผู้ทำประกันต้องรับผิดชอบด้วยตนเอง สำหรับกรณีรถหายหรือถูกโจรกรรมประกันภัยจะยังคุ้มครองอยู่ แต่จะจ่ายคืนให้ในเบี้ยประกันที่ได้ตกลงกันเอาไว้ แต่สำหรับกรณีที่เกิดไฟไหม้ น้ำท่วมหรือภัยธรรมชาติ จะไม่ได้รับการคุ้มครอง เมื่อไม่มีคู่กรณีคุณก็ต้องซ่อมเองด้วยเช่นกัน แต่สำหรับการประกันนั้นจะยังคงสามารถใช้ได้ดังเดิม
มาถึงตรงนี้เราอาจจะมองว่าประกันชั้น 2 นั้นไม่ดีเพราะแทบจะไม่คุ้มครองอะไรเลย ในปัจจุบันมีประกันภัย 2+ ให้การคุ้มครองที่ใกล้เคียงประกันชั้น 1 มากที่สุดแต่จ่ายเบี้ยถูกกว่า แต่จะไม่คุ้มครองในกรณีที่ขับไปชนรั้วบ้าน เสาไฟฟ้า เป็นต้น
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3
เป็นประเภทประกันที่มีราคาถูกมากที่สุด แต่การคุ้มครองนั้นก็จะเหลือเพียงอย่างเดียวคือการคุ้มครองคู่กรณี แต่ไม่คุ้มของผู้ทำประกันทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นรถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม เป็นต้น และสำหรับประกันภัยชั้น 3+ จะเพิ่มเติมคือซ่อมให้กับผู้ทำประกันด้วยเช่นกัน แต่ในประกันภัยประเภทนี้จะมีวงเงินซ่อมที่ต่ำมาก เพียงหลักหมื่นเท่านั้น
ไม่มีใบขับขี่ ประกันจะจ่ายให้ไหม
ใบขับขี่คือเอกสารสำคัญทางกฎหมายที่ควรพกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา แต่สำหรับกรณีที่ผู้ขับขี่เกิดอุบัติเหตุแล้วไม่มีใบขับขี่นั้นจะทำอย่างไร
- ในกรณีที่ไม่มีใบขับขี่ แต่เป็นฝ่ายถูก บริษัทประกันจะรับผิดชอบความเสียหายให้ทั้งหมด และจะไปเรียกเก็บกับฝ่ายที่ผิดแทน
- ในกรณีที่ไม่มีใบขับขี่ และเป็นฝ่ายผิด บางบริษัทจะมีข้อกำหนดว่าไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้ แต่บางบริษัทก็จะคุ้มครองคู่กรณีแล้วจึงมาเรียกเก็บค่าใช้จ่ายย้อนหลังกับเราทั้งหมด ซึ่งต้องส่วนนี้จะเป็นคดีเพ่งต้องขึ้นศาลเพื่อไกล่เกลี่ย
การทำประกันบริษัทจะทำประกันโดยใช้รถเป็นหลักเท่านั้น และไม่ได้จำกัดว่าใครคือผู้ขับขี่ ฉะนั้น หากผู้ขับขี่ไม่ใช้เจ้าของรถ แต่ทำผิดกฎหมาย ประกันจะเรียกเก็บค่าเสียหายกับเจ้าของรถเสียเอง แต่หากเป็นฝ่ายถูกประกันจะคุ้มครองทุกกรณีตามเบี้ยประกัน
การทำประกันแต่ละประเภทนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมการใช้งาน แม้ว่าแต่ละประเภทจะคุ้มครองค่าเสียหายคู่กรณีเหมือนกัน แต่ก็ต้องดูที่เบี้ยประกันด้วยเช่นกันว่าจำกัดวงเงินอยู่ที่เท่าไหร่ เพราะหากว่าความเสียหายของคู่กรณีมีสูงกว่าวงเงินประกัน ส่วนต่างที่เหลือนั้นท่านต้องเป็นคนออกเองทั้งหมด
ฉะนั้นทั้งหมดนี้ก็คือความแตกต่างของ ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1-2-3 ต่างกันอย่างไร จงเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการและการใช้งาน โดยเฉพาะรถใหม่ป้ายแดง อย่างไรเสียมีประกันภัยชั้น 1 ไว้จะอุ่นใจที่สุด thaiguru.net
เครดิตข้อมูล https://fb.watch
Credit สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ