การรอคอย คือสิ่งที่ทรมานมากที่สุดสำหรับคนรอ โดยเฉพาะการรออย่างไม่มีกำหนด ยิ่งทำให้อะไร ๆ ดูแย่ลง ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มักจะล้มเลิกและถอดใจ แต่ไม่ใช่สำหรับสิ่งมีชีวิตบางสิ่งอย่างหมา คุณเคยคิดไหมว่าเมื่อคนที่คุณจากคนรักของคุณมา เขาจะยังรอคุณอยู่ที่เดิมไหม แต่สำหรับหมา เพื่อนแท้สำหรับมนุษย์แล้วไม่ว่าคุณจะจากไปนานสักแค่ไหนเขาก็ยังคงรอและจดจำคุณได้เสมอ ดังเช่นเรื่องราวของ ฮาจิโกะ หมาน้อยผู้รอคอยเจ้านายจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตกับเรื่อง ทำไม ฮาจิโกะ (หมา) จึงรอเจ้าของถึง 10 ปี ที่ถูกเล่าขานต่อกันมาอย่างไม่หยุดหย่อนของชาวญี่ปุ่นจนถึงขั้นถูกนำมาเป็นตัวอย่างให้เยาวชนญี่ปุ่นได้เรียนรู้ถึงหัวใจของหมาผู้ซื่อสัตย์ตัวนี้
ฮาจิโกะ เป็นสุนัขที่เกิดขึ้นด้วยการเพาะพันธุ์ของฟาร์มแห่งหนึ่งใกล้เมืองโอดาเตะ
เมื่อราวปี 1923 ก่อนที่จะถูกส่งต่อมาที่ย่านชิบูย่าตั้งแต่ยังเป็นหมาน้อย โดยผู้ที่รับเลี้ยงก็คือ ศาสตราจารย์ เอซาบูโร อูเอโนะ ซึ่งมีอาชีพสอนหนังสือให้แก่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยโตเกียว
แต่เดิมนั้นศาสตราจารย์ได้ให้ชื่อแก่ฮาจิโกะว่า ฮาจิ ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า เลขแปด ชาวญี่ปุ่นชื่อว่าเป็นเลขมงคลเสริมชีวิต เขาใช้เวลาอยู่กับหมาน้อยตัวนี้เป็นส่วนใหญ่ของชีวิต เลี้ยงดูตั้งแต่เล็กจนโตด้วยความรักความอบอุ่น เขาทำทุกอย่างราวกับฮาจิเป็นลูกคนหนึ่งของเขา ด้วยการดูแลเอาใจใส่อย่างดีทำให้เจ้าฮาจิมอบความรักให้อย่างเต็มเปี่ยม เขามักจะพาฮาจิออกไปเดินเล่นตามสวนสาธารณะ หรือสวนพืชพันธุ์ เขาพูดคุยกับมันและอธิบายทุกสิ่งอย่างให้ฮาจิได้ฟังราวกับว่ามันฟังภาษาของเขาเข้าใจ แต่แม้ว่าเจ้าฮาจิจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดแม้แต่น้อยก็เนื่องด้วยมันเป็นแค่หมา แต่น้ำเสียงและแววตาอันอบอุ่นนั้นให้ฮาจิจำได้ฝังใจไม่รู้ลืม
สิ่งหนึ่งที่ฮาจิโกะทำเป็นประจำคือการเดินออกมาส่งศาสตราจารย์ที่สถานีรถไฟทุกเช้า ก่อนที่จะกลับบ้านมาเพื่อรอเวลาห้าโมงเย็นของทุกวัน เมื่อได้เวลาหน้าที่ของมันคือวิ่งออกไปรอที่สถานีรถไฟเป็นประจำ เมื่อก้าวแรกของศาสตราจารย์ก้าวออกมาจากรถไฟมันจะเห่าร้องดีใจและพุ่งเข้าหา ทั้งคู่ต่างรู้สึกดีใจที่ได้พบกันก่อนจะพากันเดินทางกลับบ้าน
กระทั่งวันหนึ่ง เจ้าฮาจิโกะเดินทางมาส่งเจ้านายที่สถานีรถไฟตามปกติ
ซึ่งทั้งคู่ไม่รู้เลยว่านี้จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย เมื่อเวลาล่วงเลยไปได้เวลากลับบ้าน เจ้าฮาจิออกมาต้อนรับเจ้านายดังเดิม แต่คราวนี้ เมื่อคนสุดท้ายของสถานีได้ก้าวลงมา นั่นกลับไม่ใช่ศาสตราจารย์ ซึ่งศาสตราจารย์นั้นได้เสียชีวิตจากเส้นเลือดในสมองแตกระหว่างการสอนไปแล้ว แต่เจ้าฮาจิกลับไม่รู้เลยได้แต่เฝ้ารอดังเดิม
เมื่องานศพเสร็จสิ้น ภรรยาของศาสตราจารย์ย้ายเมืองกลับบ้านเกิดและได้ฝากฮาจิไว้กับญาติที่บ้านเก่า แต่ท้ายที่สุดเจ้าฮาจิก็หนีออกมานั่งรถที่สถานีรถไฟชิบูย่าดังเดิม แต่คราวนี้สภาพของมันดูผอมลงไปมาก อดีตคนสวนได้มาเห็นจึงรับไปเลี้ยง เจ้าฮาจิเองก็ยอมที่จะไปอยู่ด้วย แต่ในทุกห้าโมงเย็นของทุกวันมันก็จะวิ่งมาที่สถานีรถไฟอยู่เป็นประจำ เมื่อกาลเวลาผ่านไปเป็นปี สภาพของมันดูโรยราและมอมแมม แต่มันก็ยังคงนั่งอย่างใจจดใจจ่อเพื่อรอเจ้านาย จนท้ายที่สุด ในวันที่ 8 มีนาคม 1935 วาระสุดของลมหายใจสุนัขผู้ซื่อสัตย์ก็ได้สิ้นลง ด้วยอายุ 11 ปี สิ้นสุดการรอคอย 10 ปีเต็ม มันคงได้ไปพบกับเจ้านายเก่าของมันที่รอมันอยู่เช่นกัน
แม้ว่าในปี 1932 เรื่องราวของฮาจิจะถูกตีพิมพ์ โดยสำนักพิมพ์ Asahi Shimbun จนทำให้มันเป็นที่รู้จักแก่ผู้ที่ผ่านไปผ่านมาที่สถานีรถไฟ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มันถอดใจที่รอและหาเจ้านายใหม่ มันยังคงตั้งหน้าตั้งตากับเจ้านายเก่าจนสิ้นใจด้วยโรคพยาธิหัวใจ ต่อมา เทรุ อันโด นักประติมากรรมได้สร้างรูปปั้นขนาดเท่าตัวจริง และทำพิธีเปิดในปี 1934 อนุสาวรีย์ฮาจิโกะ จึงกลายเป็นดั่งสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ที่ค่อยเตือนใจแก่ผู้พบเห็น
หากท่านได้มีโอกาสได้เที่ยวญี่ปุ่น สถานที่หนึ่งที่โด่งดังไม่แพ้การตามรอยซีรีส์ก็คือสถานีรถไฟแห่งนี้ อย่าลืมไปเยี่ยมชมเศษความทรงจำของฮาจิโกะ หมาน้อยผู้ซื่อสัตย์และจงรัก เพราะฉะนั้นจึงไม่ผิดอะไรหรอกคุณจะเก็บเรื่องราวความน่ารักของสัตว์โลกตัวนี้เอาไว้และเป็นเครื่องเตือนใจในยามที่คุณกำลังเจอกับอุปสรรค เพราะอย่างน้อยคุณก็ได้จะได้รู้ว่า การอดทนรอเพียงไม่กี่อึดใจคงไม่ทรมานเท่ากับการรอของฮาจิโกะ
ทำไม ฮาจิโกะ (หมา) จึงรอเจ้าของถึง 10 ปี คำตอบเดียวเลยก็คือ ความซื่อสัตย์ ซึ่งสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงที่ขึ้นชื่อเรื่องนี้เป็นที่สุด หากคุณกำลังมองหาเพื่อนแท้ที่จะไม่มีวันหักหลังคุณ หมา คือตัวเลือกชั้นดีที่จะมาเติมเต็มทุกช่วงชีวิตของคุณได้เป็นอย่างดี thaiguru
เครดิตของมูล The People