เป็นความเชื่อที่ถูกส่งต่อกันมาอย่างยาวนานจนเกิดขึ้นคำถามว่า จริงหรือไม่ รบรอยช้ำด้วยช้อน? กับการใช้ช้อนลบรอยฟกช้ำ และในช่วงที่ผ่านมาเราได้เห็นคลิปวิดิโอไวรัลมากมายที่ใช้ช้อนหรือโลหะขูดบนผิวหนังเพราะเชื่อว่ามันจะสามรถขับเลือดหรือของเสียออกมาได้จนบางภาพก็ดูมีความน่ากลัวจนขนลุก ซึ่งแพทย์หลายๆคนก็ได้ออกมาเตือนถึงความปลอดภัยและผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับผิวหนังหรือหนักอาจไปถึงขั้นติดเชื้อ การใช้ช้อนเพื่อลบรอยช้ำไม่เป็นวิธีที่แนะนำเนื่องจากอาจทำให้รอยช้ำที่ผิวหนังเปลี่ยนแปลงแย่ลงและเสียหายมากขึ้น ในการดูแลรอยช้ำเราควรใช้วิธีที่ถูกต้องและปลอดภัยกว่า
รอยช้ำเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง?
รอยช้ำเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับแรงกระแทกตั้งแต่เบา ปานกลาง จนถึงขั้นรุนแรงทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังแตก และมีการรั่วของเลือดออกมาบริเวณรอบๆ รอยช้ำ ทำให้ผิวบริเวณที่ถูกกระแทกเปลี่ยนสีไป โดยในช่วงแรกๆ จะเป็นสีม่วง แล้วเปลี่ยนเป็นสีเทา หรือเขียว ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในที่สุด การเปลี่ยนสีนี้จะสัมพันธ์กับการหายของรอยช้ำ ซึ่งจะใช้เวลาในการหายประมาณ 7-10 วัน
แต่รอยช้ำบางครั้งอาจเกิดขึ้นในแบบที่อันตราย ควรระวังและรีบพบแพทย์หากพบรอยช้ำที่มีลักษณะต่อไปนี้:
- รอยช้ำยังไม่หายหลังจาก 10 วันหรือราว 2 สัปดาห์
- มีรอยช้ำที่ขยายขนาดมากขึ้น
- มีรอยช้ำบนร่างกายโดยไม่มีการกระแทกต่อเนื่อง
- มีอาการไข้ หรือเจ็บปวดบริเวณรอยช้ำ
- รอยช้ำมีขนาดใหญ่และรุนแรง
รอยช้ำที่มีลักษณะเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคภัยที่ซ่อนอยู่ ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม
วิธีดูแลรอยช้ำ
การดูแลรอยช้ำอย่างมืออาชีพสามารถช่วยให้รอยช้ำหายได้เร็วขึ้น นี่คือวิธีการดูแลรอยช้ำ:
- ประคบน้ำแข็งในช่วง 48 ชั่วโมงแรก: ใช้ถุงพลาสติกห่อผ้าแล้วนำมาประคบรอยช้ำ ห้ามใช้น้ำแข็งตรงผิวหนัง ประคบเย็นนี้ช่วยรักษารอยช้ำได้รวดเร็ว ทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังแข็งตัว
- ประคบร้อนหลังจากเวลาผ่านไป 48 ชั่วโมง: ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นแล้วประคบที่รอยช้ำ ครั้งละ 10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดและช่วยให้รอยช้ำหายเร็วขึ้น
- พักรอยช้ำไว้บนที่สูง: พยายามห้ามใช้ส่วนที่มีรอยช้ำให้มากนักในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อเสริมระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย: การรับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุช่วยป้องกันการเกิดรอยช้ำและช่วยให้ระยะเวลาการฟื้นหายเร็วขึ้น รวมถึงอาหารกลุ่มที่มีประโยชน์ได้แก่ไข่, นม, ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง, และผักสีเขียวเข้ม
รอยช้ำมักไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลจนต้องปรึกษาแพทย์ แต่หากคุณมีรอยช้ำที่ไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บและไม่จางหายภายใน 2 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและทำการรักษาอย่างตรงจุด
หากอยู่เฉยๆแล้วเกิดรอยช้ำล่ะ?
รอยช้ำบางครั้งอาจเกิดขึ้นแม้ไม่มีการกระแทกหรือบาดเจ็บอยู่เฉยๆ นั่นเป็นไปได้เนื่องจากระบบหลอดเลือดใต้ผิวหนังอาจบอบบางหรือแข็งตัวน้อย ๆ และสามารถทำให้รอยช้ำเกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะในบางบุคคลที่มีผิวบอบบางหรือแรงกระแทกในระดับเบา แต่รอยช้ำเช่นนี้มักไม่มีอาการรุนแรงและจะหายไปเองในระยะเวลาไม่นาน โดยไม่ต้องรักษาเฉพาะ.
อย่างไรก็ตามหากคุณมักเกิดรอยช้ำโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจนหรือมีรอยช้ำบ่อยๆ ควรพบแพทย์เพื่อให้ตรวจสอบและประเมินสุขภาพอื่นๆ ที่อาจมีผลต่อความแข็งแรงของหลอดเลือดใต้ผิวหนัง และหากมีปัญหาสุขภาพรอยช้ำเกิดขึ้นอยู่เฉยๆ อาจจะต้องพิจารณาการที่คุณสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและรูปแบบการดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำในอนาคต อย่างเช่น รักษาการออกกำลังกาย, การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์, และการปรับหมวดเวลาในการนอนหลับ เพื่อช่วยให้ระบบหลอดเลือดด้านหน้าของผิวหนังของคุณเป็นปกติมากขึ้น
วิธีการรักษาแบบเร่งด่วน
ต้องบอกว่าวิธีการรักษาให้หายอย่างฉับพลันเหมือนกับอาการปวดหัวที่กินยาก็หายนั้นคงจะไม่มี เพราะรอยช้ำที่เกิดขึ้นนั้นคือเลือดที่คลั่งอยู่ในชั้นผิวหนัง จึงมีทางเดียวคือให้ร่างกายค่อยๆรักษาตัวเองเพราะมิฉะนั้นจะใช้วิธีการเจาะเอาเลือดออกก็คงจะเป้นเรื่องใหญ่และก็จะเลวร้ายลงกว่าเดิมมาก ฉะนั้นวิธีการประคบร้อนประคบเย็นตามเวลาที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้นั้นถือว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว นอกจากนี้ก็เลือกซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงร่างกายเพื่อลดอาการช้ำง่ายๆ ดังนี้:
- วิตามิน C กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งช่วยให้ผิวแข็งแรงและไม่ง่ายเกิดรอยช้ำ
- วิตามิน K ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำหรือการรอยเลือดใต้ผิวหนัง
- วิตามิน E เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวหนังจากความเสียดสีและความทนทานของผิว
สารอาหารเหล่านี้สามารถหาได้จากพืชผักผลไม้ถั่ว ฉะนั้นจึงควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หรือทานอาหารเสิรมที่ได้รับการแนะนำจากแพทย์อย่างเหมาะสม
สรุป
จริงหรือไม่ รบรอยช้ำด้วยช้อน? จากคำแนะนำของแพทย์ช้อนไม่สามารถลบรอยฟกช้ำบนร่างกายได้ ที่สำคัญหากขูดรีดบนผิวหนังอาจก่อให้เกิดอันตรายจากเชื้อแบคทีเรียได้อีกด้วย